วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ฟาร์มโคเนื้อครบวงจร

ลุงเชาวน์ฟาร์ม ฟาร์มโคเนื้อครบวงจร
ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ใครก็ทำได้หากไม่มีใจรักเป็นทุนเดิม อย่าง เรวัติ วัชราไทย เกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุนเจ้าของ "ลุงเชาวน์ฟาร์ม" แหล่งเลี้ยงโคขุนรายใหญ่ของประเทศ เพราะกว่าจะมีวันนี้ได้ เขาต้องใช้เวลากว่า 30 ปี ในการลองผิดลองถูกจนประสบความสำเร็จ ก่อนขยายไปสู่ธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆ ล่าสุดจากมูลวัวที่ไม่รู้จะไปเอาไปทำอะไรในตอนแรก กลายเป็น "ลุงเชาวน์ปุ๋ยอินทรีย์" ที่ส่งขายทั่วประเทศ สร้างรายได้ปีละหลายล้านบาทกว่าจะเป็น "ลุงเชาวน์ฟาร์ม" ที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน โดยมีโคขุนคุณภาพสุดยอดอยู่ในสังกัดกว่า 4 พันตัว มีแม่พันธุ์อเมริกันบรามัน พันธุ์ลูกผสมยุโรป กว่า 800 ตัว ในพื้นที่ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เรวัติ วัชราไทย เกษตรกรวัย 58 ปี เจ้าของฟาร์มรุ่นลูกเล่าว่า ครอบครัวต้องใช้ความอดทนสูงมาก หลังจากทางบ้านไม่ประสบผลสำเร็จกับการประกอบอาชีพปลูกมันสำปะหลัง และปลูกอ้อย เนื่องเพราะเกิดจากสภาพดินจืดเรวัติบอกว่า ประมาณปี 2513 หรือกว่า 30 ปีมาแล้ว ที่บ้านมีความคิดเปลี่ยนอาชีพ โดยเฉพาะคุณพ่อ คือ ลุงเชาวน์ วัชราไทย มีความเห็นว่า เมื่อดินไม่ดีไม่เหมาะกับการปลูกพืชเศรษฐกิจ แต่มีสภาพแวดล้อมเหมาะกับการเลี้ยงโคเนื้อ หรือโคขุน ตามคำบอกกล่าวของปศุสัตว์จังหวัด จึงได้เริ่มจากโค 10 ตัว ที่ไปหาซื้อมาจาก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ด้วยสนนราคาการลงทุนครั้งแรกประมาณ 3 แสนบาทระยะแรกเรวัติเล่าว่า เลี้ยงในพื้นที่ไม่มาก เพียง 10-20 ไร่ แต่เมื่อเลี้ยงไปประมาณ 2-3 ปี ด้วยต้นข้าวโพดหวานหั่นสับเป็นส่วนใหญ่ โคก็เริ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ลดปริมาณการปลูกมันสำปะหลังและอ้อยลง จนในที่สุดก็กลายเป็นฟาร์มเลี้ยงโคขุนแบบเบ็ดเสร็จเมื่อเข้าสู่ปีที่ 8 หรือ ปี 2521 และปริมาณโคขุนได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งพื้นที่ 2 พันไร่ ปัจจุบันเต็มไปด้วยโครุ่นกระทงที่มีอายุ 18 เดือน น้ำหนักประมาณ 400-500 กิโลกรัมต่อตัว ซึ่งพร้อมเตรียมส่งเข้าโรงชำแหละต่อไป"เริ่มต้นเราส่งให้กับโรงเชือด บริษัท ไทยอาร์เอสเอ็ม จำกัด ที่ปทุมธานี เป็นผู้ดำเนินการ ต่อด้วย บริษัท ไทยแปซิฟิกฟู้ด ที่สุพรรณบุรี แต่ทั้งสองได้ล้มเลิกกิจการหลังจากทำกับเราได้ 5 ปี ตรงนี้เลยทำให้คิดทำโรงเชือดเอง จึงได้เกิด บริษัท บีฟโปร จำกัด ขึ้น เมื่อปี 2531 โดยมีน้องสาวและน้องเขยเป็นผู้ดูแล" เรวัติเล่าถึงที่มาของ บีฟโปร ธุรกิจต่อเนื่องของครอบครัวพร้อมกับยอมรับว่า ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ในการก่อสร้างโรงงานบนพื้นที่ 20 ไร่ ณ 44 หมู่ 10 ต.หัวนา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เพื่อรองรับโคขุนจากลุงเชาวน์ฟาร์ม ที่ส่งมาเชือดอาทิตย์ละไม่ต่ำกว่า 100 ตัว ซึ่งเนื้อที่ชำแหละแล้ว 50 เปอร์เซ็นต์ ส่งขายยังซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ ส่วนอีก 50 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นการส่งออกที่มีมูลค่าปีละไม่ต่ำกว่า 20-30 ล้านบาทปริมาณโคขุนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ 3 ปีก่อน บวกกับมูลโคที่เพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งตอนแรกเรวัติและครอบครัวมองว่าเป็นปัญหา ได้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นเงินไปในทันที เมื่อกรมปศุสัตว์ได้ให้คำแนะนำเรวัติว่า ควรที่จะผลิตเป็นปุ๋ยส่ง และนั่นจึงเป็นที่มาของ "ลุงเชาวน์ปุ๋ยอินทรีย์" ที่มีปริมาณการผลิตในปัจจุบันแต่ละวันไม่ต่ำกว่า 5 ตัน ซึ่งตรงนี้ถือเป็นการสร้างรายได้ที่เรวัติบอกว่า การลงทุนนั้นแทบไม่มี แต่รายได้ที่เข้ามานั้นดีมาก จนเกือบจะกลายเป็นธุรกิจหลักไปเลย"มีขายทั่วประเทศ ถึงนราธิวาส เพราะของเรานั้นคุณภาพต้องมาก่อนอย่างอื่น ทำมา 3 ปี ยอมรับว่ารายได้เป็นกอบเป็นกำมาก เดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 3-4 ล้านบาท คาดว่าปีหน้าเราจะผลิตเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีการสั่งเข้ามาของลูกค้าและเกษตรกรจำนวนมาก" เรวัติ กล่าวความสำเร็จในวันนี้ เรวัติ วัชราไทย ยอมรับว่า นอกจากความมานะพยายามที่จะต้องใช้ความอดทนอย่างสูงแล้ว สิ่งสำคัญที่ทำให้งานบรรลุถึงเป้าหมาย นั่นก็คือ ต้องมีใจรักที่จะเลี้ยง ต้องเข้าถึงปัญหาทุกซอกมุม และต้องเข้าใจธรรมชาติของโค พร้อมฝากถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุนรายอื่น หากมีปัญหาสามารถสอบถามได้ตลอดเวลา ที่โทร. 0-9918-7300 หรือ 0-3551-8205 เขายินดีตอบทุกกระทู้แน่นอน!

1 ความคิดเห็น:

บุญญฤทธิ์ กล่าวว่า...

ข้อความที่ท่านเขียนมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเสียหาย กรุณาลบข้อมูลด้วย หรือติดสอบถามที่ boonyarit_m@hotmail.com